วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อังกฤษวันละประโยค....

                                                             ภาษาอังกฤษวันละประโยค
อยากทราบว่า การพาคนไปเที่ยวจะพูดอย่างไร เช่น เมื่อสนทนา "ฉันจะพาคุณไป (ชื่อสถานที่)" แล้วการพาสัตว์ไปเดินเล่น และสุดท้าย คือการไปเอาสิ่งของมา เช่น "เดี๋ยวฉันจะไปเอารถมา (รถอยู่ที่โรงจอดรถ)" ใช้คำศัพท์เหมือนกันไหม รบกวนคุณแอนดรูว์ตอบด้วย ปล.จะจำไว้ว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว แต่ฝรั่งไม่เข้าใจ
ปกติมีแต่ "แต่ยากมาก" ตอนท้าย แต่ได้เสนอวิธีตอนท้ายแบบใหม่เอี่ยม ชอบมากคุณได้ถามถึงหลายสถานการณ์ทีเดียว I will drive you to หมายถึงฉันจะขับรถพาคุณไปที่ใดที่หนึ่ง เช่น Ill drive you to the airport. (ฉันจะส่งคุณที่สนามบินโดยใช้รถ) ในกรณีที่คุณจะพาคนนั้นโดยไม่ใช้รถ ใช้ Ill take you to the airport. (ไม่ใช่ send ครับอย่าแปลตรงตัวจากคำว่า ส่ง ครับ)
การพาสัตว์ไปเดินเล่นก็แปลว่า walk the dog เช่น Im going to walk the dog. หรือ Im going to take the dog for a walk (ฉันจะพาสุนัขไปเดินเล่น) แต่ถ้าจะไปเอารถมา น่าจะใช้ Ill go and get the car. (ฉันจะไปเอารถมา)

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นามนับได้ นามนับไม่ได้

Nouns

Countable/Uncountable Nouns - นามนับได้/ไม่ได้

 1.Countable Nouns ( นามนับได้ )
  • เป็นนามที่สามารถแยกนับจำนวนหนึ่ง สอง สาม... ได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรูปร่างก็ได้
    มีรูปร่าง (สามารถสัมผัสได้ ) – เช่น dog, chair , tree, school, country, student, biscuit
    ไม่มีรูปร่าง  ( ไม่สามารถสัมผัสได้ ) - เช่น  day , month, year, weekend, journey
    กิจกรรม : job, assignment
  • มีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์
    เอกพจน์:  เช่น  dog,country,day,year
    พหูพจน์:   เช่น  dogs,countries,days,years
  • การใช้  นามนับได้เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย determiners  อย่างใดอย่างหนึ่ง  เช่น
    I want an orange. (ไม่ใช่ I want orange.)
    Where is the bottle? ( ไม่ใช่ Where is bottle?)
    Do you want this book?
  • การใช้นามนับได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย  articles หรือไม่ก็ได้ เช่น
    I like to feed the birds. ( เฉพาะเจาะจง ต้องมี articles )
    Cats are interesting pets. ( ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี  article )
    I want those books on the table. ( those เป็น determiners )
 2.Uncountable Nouns  ( นามนับไม่ได้ )
  • เป็นนามที่นับไม่ได้ เนื่องจากภาษาอังกฤษมองสิ่งนั้นในภาพรวมและคิดว่าไม่สามารถจะแยกเป็นส่วนได้  รวมทั้งความคิด การกระทำต่างๆที่เป็นรูปธรรม( abstract nouns ) ด้วย เช่น
    Concrete: เช่น  water, milk, butter, furniture, luggage, iron,equipment,clothing,garbage, junk
    Abstract  : เช่น anger, courage, satisfaction,happiness,knowledge
    ชื่อภาษา:  เช่น English,German,Spain
    กีฬาต่างๆ :เช่น hockey, football, tennis
    ชื่อวิชาต่างๆ: เช่น  sociology, medicine, anthropology
    กิจกรรมต่างๆ: swimming, eating
    อื่นๆ : news, money,mail ,work,homework,gossip, education, weather, difficulty, information,feminism, optimism,machinery,information, research,traffic,scenery,breakfast, accomodation, advice, permission
  • มีรูปเอกพจน์   และเมื่อกล่าวถึงเป็นการทั่วๆไป หรือ ไม่ได้กล่าวถึงมาก่อน ไม่ต้องนำด้วย articles  เช่น
    I have bread and butter for breakfast every morning. ( ฉันกินขนมปังและเนยเป็นอาหารเช้าทุกวัน )
    We cannot live without air and water. ( เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากอากาศและน้ำ )
    Information is often valuable.( ข้อมูลข่าวสารมักจะมีคุณค่า )
    Sunlight and water are usually required for plants to grow. ( แสงแดดและน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช )
    My favorite breakfast is cereal with fruit, milk, orange juice, and toast.
  • Uncountable nouns ที่ทำหน้าทีประธานของประโยค จะต้องใช้ verb ด้วยหลักการเดียวกับคำนามเอกพจน์ เช่น
    Butter is fattening. ( เนยทำให้อ้วน )
  • ปกติจะมีรูปเป็นเอกพจน์   แต่ทำให้เป็นพหูพจน์ได้โดยบอกจำนวนตามภาชนะที่บรรจุ กลุ่ม น้ำหนัก และลักษณะนาม เช่น
    two cups of water, three pieces of information, five patches of sunlight
    three games of hockey, two lumps of sugar
    I need two lumps of sugar for my coffee.  ฉันกินกาแฟต้องใส่น้ำตาล  2  ก้อน
    Two glasses of milk are enough. นมสองแก้วก็เพียงพอแล้ว  ( ใช้ are  เนื่องจาก glasses เป็นพหูพจน์ )

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว

                                                                       การขนส่ง
1. Car
รถ

2. Boat
เรือ

3. Train
รถไฟ

4. Subway
รถไฟใต้ดิน

5. Airplane
เครื่องบิน

6. Bus
รถโดยสาร

7. Bicycle
จักรยาน

8. Motorcycle
จักรยานยนต์

9. Taxi
แทกซี่

10. Jet
เครื่องบินไอพ่น


11. Helicopter
เฮลิคอปเตอร์

12. Sail boat
เรือใบ

13. Minibus
รสโดยสารขนาดเล็ก


14. Water taxi
เรือโดยสาร

15. Row boat
เรือพาย

16. Pick up truck
รถกระบะ

17. Sports car
รถสปอร์ต

18. Tractor
รถไถ

19. Semi truck
รถบรรทุก

20. Van
รถตู้

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ฝึกประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆ

                                                      ฝึกประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆ

1. No man is worth your tears and the only one who is will never make you cry.
ไม่มีชายคนใดมีค่าพอที่เราสมควรจะเสียน้ำตาให้ เพราะคนที่มีค่าพอเขาจะไม่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา

2. When you´re in love..life
เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก ..ชีวิตก็เหมือนดั่งนิยายที่คุณอ่านไม่จบ

3. When you´re in love it has a strange affect on everything you do.
เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งความรัก รักนั้นดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับทุกสิ่งที่คุณทำอย่างประหลาด

4. When you love someone...everything around you can feel the warmth of your love.
เมื่อคุณรักใคร...ทุกสิ่งรอบๆ ตัวคุณดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแห่งรักนั้น

5. When you´re in love you have love to share with everything around you.
เมื่อคุณมีรัก...คุณก็อยากแบ่งปันรักนั้นกับทุกสิ่งรอบๆ ตัว

6. When love is in your heart you´re happy doing the simple chores of life.
เมื่อคุณมีรักในหัวใจ...แม้เรื่องธรรมดาประจำวัน ก็ดูจะทำให้คุณมีความสุขได้

7. When you´re bound with love you´re a happy prisoner.
เมื่อคุณถูกพันธนาการด้วยรัก...คุณก็คือนักโทษที่มีความสุขที่สุด

8. When you love someone ...you just can´t keep it to yourself.
เมื่อคุณรักใครสักคน...ก็ดูเหมือนว่าคุณจะเก็บรักนั้นไว้ในใจคนเดียวไม่ได้

9. To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything
การได้รักคือ "ไม่มีอะไรเลย" การถูกรักเริ่มเป็น "บางสิ่งบางอย่าง" แต่การได้รักและถูกรักกลับเป็น "ทุกสิ่ง ทุกอย่าง"

10. You may only be one person to the world but you may also be the world to one person.
คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆหนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้

11. It only takes a second to say " I love you" but it will take a lifetime to show you how much.
มันใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า" ฉันรักเธอ" แต่เราต้องใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า เรารักเค้าหรือเธอมากเพียงใด

12. Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial.
ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ ... มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

13. You will be doing anything For the one you love ... Except love them again.
คุณจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อคนที่คุณรัก ยกเว้น รักเขาอีกครั้ง

14. A life without love, is no life at all.
ชีวิตที่ปราศจากความรัก มันไม่ใช่ชีวิตหรอก

15. We ourselves fell that what we are doing is just a drop in the ocean. But the ocean would be less be cause of that missing drop.
ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็น เหมือนกับเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร แต่มหาสมุทร คงจะมีน้ำน้อยลง ถ้าขาดหยดนั้นไป ...

16. To handle yourself,use your head and to handle others,use yourheart
จงใช้สมองดูแลหัวใจคุณเองและจงใช้หัวใจคุณดูแลใจดวงอื่นๆที่มาพบคุณ

17. Love can hurt but the things it brings are worht death.
ความรักมักนำมาซึ่งความเจ็บปวดแต่นั่นก็คุ้มค่าพอที่เราจะตายเพื่อมัน

18. Any time not spent on love is wasted.
เวลาที่ใช้ไปโดยปราศจากความรักเป็นเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์

19. True love lasts forever.
ความรักที่แท้จริงเป็นอมตะ

20. As I gaze upon your beauty, I think to myself, never have I seen an angel fly so low.
ในขณะที่ผมจ้องมองคุณ ผมคิดกับตัวเองเสมอว่า ทำไมนางฟ้าถึงได้บินลงมาใกล้ถึงเพียงนี้

21. Love..like fine sand. Grasp it and it will quickly slip through you to fill the spaces in your hands.r fingers. Cup it gently and it will fill the voids of your soul - - as sand seeks
ความรักก็เหมือนเม็ดทราย เมื่อใดที่รีบคว้ามันไว้ เม็ดทรายนั้นจะไหลออกทางร่องนิ้ว แต่เมื่อค่อยๆ ประคองมันไว้ มันก็จะอยู่ในมือของคุณ และถ้าคุณทะนุถนอมความรัก มันก็อยู่ในทุกช่องว่างในหัวใจเช่นเดียวกับเม็ดทรายที่อยู่ในกำมือ

22. Honesty is a double-edged sword. It can help and hurt you.
ความจริงใจเป็นดาบสองคม มันช่วยคุณได้แต่ก็อาจทำให้รู้สึกเสียใจได้เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

คำศัพท์อังกฤษธุรกิจ

                                                                ศัพท์อังกฤษธุรกิจค๋ะ
Sale Order System ระบบงานขาย

A Cash Psyments Journal - สมุดรายวันจ่ายเงินสด

Acceptance Sampling - การยอมรับการสุ่มตัวอย่าง

Accounts Payable Ledger - สมุดบัญชีแยกประเภทเจ้าหนี้

Accounts Receivable Ledger - สมุดบัญชีแยกประเภทลูกหนี้

Activity Ratio - วิเคราะห์ประสิทธิภาพในการจัดการสินทรัพย์

Budgetงบประมาณ ประมาณการรายได้และรายจ่ายขององค์กรหรือประเทศสำหรับช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต เช่น งบประมาณปีถัดไป

Budgetary controlระบบบริหารธุรกิจที่ใช้การตั้งงบประมาณรายได้รายจ่ายสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆหลังจากนั้นจึงเอารายได้รายจ่ายจากการดำเนินงานจริง ๆ มาเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ดังกล่าว

Business administrationสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการควบคุม, การชี้นำหรือการบริหารจัดการขององค์กรทางธุรกิจ

Business cycleวัฏจักรหรือวงจรทางธุรกิจ ช่วงที่เปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ระหว่างช่วงธุรกิจที่เฟื่องฟูกับซบเซา

Business planแผนธุรกิจ แผนที่เตรียมโดยผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อเสนอต่อผู้ลงทุน โดยการอธิบายแนวความคิดใหม่ทางธุรกิจ และข้อมูลเบื้องต้นในเรื่องการตลาด การหาทุน และการดำเนินการเพื่อชี้ให้เห็นว่าทำไมจึงเป็นโครงการที่น่าสนใจที่จะลงทุน

Capital budgetingการวางแผนการลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนในอนาคต

Capitalismระบบทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจที่มีพื้นฐานอยู่ที่การที่เอกชนหรือนายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและการจำหน่ายเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด โดยการแข่งขันกันในตลาดเสรี

Cash flowกระแสเงินสด

1) การจัดหาเงินสดที่จำเป็นสำหรับการใช้จ่ายของบริษัทเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน

2) ผลการดำเนินงานของธุรกิจในรูปของเงินสด

Certificationการรับรองเอกสารทางการ เช่น การจบหลักสูตรการศึกษาอบรมหรือการให้บริการทางวิชาชีพ

Chairmanประธานกรรมการบริหารขององค์กร ผู้ดูแลฝ่ายบริหารในนามของผู้ถือหุ้น ในสมัยก่อนไม่ได้มีการแยกกันอย่างเด็ดขาดระหว่างประธานกรรมการบริหารกับกรรมการผู้จัดการใหญ่ (chief executive officer) แต่การบริหารสมัยใหม่มีการแยกกันอย่างเด่นชัดมากขึ้น โดยประธานกรรมการบริหารเป็นผู้ดูแลควบคุมการบริหารงานของกรรมการผู้จัดการใหญ่

Coachingการพัฒนาคุณภาพและทักษะของคนในองค์กรให้ทำงานปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น มีความหมายมากกว่าการฝึกอบรมธรรมดา คือเหมือนกับการติวเข้มหรือฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพื่อหวังผลเลิศ

Commerce พาณิชยกรรม การค้าและบริหารที่เกี่ยวกับการค้าทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีก ค้าส่ง การส่งออกการธนาคารและการประกันภัย

Committeeคณะกรรมการผู้ได้รับแต่งตั้งมา เพื่อพิจารณาและรายงานต่างๆ

Compromiseยุทธศาสตร์การบริหารจัดการกับปัญหาความขัดแย้ง โดยการหาทางออกแบบประนีประนอมที่อย่างน้อยให้ความพอใจแก่คู่กรณีบางส่วน

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

อังกฤษพื้นฐาน

words
       คำในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้      ชนิด ด้วยกันคือ
          1.   Noun คำนาม (คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่)
          2.   Pronoun   คำสรรพนาม  (คำที่ใช้แทนคำนาม)
          3.   Adjective   คำคุณศัพท์  (คำขยายคำนาม
         4.   Adverb  คำกริยาวิเศษณ์   (คำขยายกริยา  ฯลฯ   ยกเว้นนาม  กับ  สรรพนาม)   
         5.  Verb    คำกริยา  ( อาการกระทำของประธาน)
          6.   Conjunction    คำสันธาน  (คำที่ใช้เชื่อมอนุประโยคตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไป)
          7.   Preposition    คำบุพบท  (คำใช้เชื่อมแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ)
          8.   Interjection   คำอุทาน  (คำทีเปล่งออกมาลอยๆ  เพื่อแสดงความรู้สึกของอารมณ์)
          ในภาษาอังกฤษนั้นการสร้างประโยคจะใช้คำต่างๆเหล่านี้มาแต่งเป็นประโยคขึ้น  ซึ่งคำแต่ละชนิดนี้จะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง   คือมีหน้าที่ต่างกันและมีการวางตัวต่างกันด้วย   ซึ่งต่อไปนี้จะได้อธิบายพื้นฐานเรื่องหลักการใช้คำต่างๆ เหล่านี้และหลักการแต่งประโยคอย่างง่ายๆ

NOUN
          Noun    คือคำที่ใช้เป็นชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของและสถานที่  แบ่งออกได้  5  ชนิดคือ
          1.   Common Noun     สามานยนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อไม่ชี้เฉพาะของ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  เช่น   man,     dog,  pen,  school .
          2.  Proper  Noun    วิสามานยนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  และจะต้องเขียนด้วยตัวใหญ่เสมอ  เช่น   Ladda,  Dang,  Diccky,  Toyota,  Thailand
               3. Collective  Noun  สมุหนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะ, กลุ่ม, ฝูง, เป็นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็นคำผสมที่ครั่นด้วย of เสมอ  และสมุหนามนี้ต้องถือว่าเป็นนามพหูพจน์ตลอดไป  ดังนั้นกิริยาจึงต้องใช้ให้เป็นพหูพจน์ด้วย (อนึ่งบางคำอาจเป็นคำคำเดียวก็ได้ไม่จำเป็นต้องมี of  และถ้าสมุหนามนี้มาทำหน้าที่เป็นประธานแแล้วหมายถึงหน่วยเดียวก็ใช้กิริยาเป็นเอกพจน์  แต่ถ้าหมายถึงแยกเป็นแต่ละบุคคลที่มีอยู่หลายคน ถือว่าสมุหนามนั้นเป็นพหูพจน์  ต้องใช้กิริยาให้เป็นพหูพจน์ด้วย)
                4.  Material  Noun  วัตถุนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของเนื้อวัตถุ  ซึ่งส่วนมากก็ได้แก่นามที่เป็นของเหลว, แร่, ธาตุ,โลหะ แต่นามบางชนิดเมื่อยังไม่แยกก็จัดเป็น  common Noun   แต่เมื่อแยกแล้วจะมาเป็น   Material Noun   เช่น   cow,  ox, วัวมาแบ่งเป็น  beef   เนื้อวัว.                                                                                
                5.   Abstract  Noun   อาการนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของลักษณะ, สภาวะและการกระทำ  นามจำพวกนี้ไม่มีตัวตน  เป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้น มีสำเนียงแปลว่า การ หรือ ความ  ขึ้นต้น เช่น happiness  ความสุข,  Slavery  ความเป็นทาส ,  eating  การกิน เป็นต้น
                  
                                                                
หน้าที่ของนาม
                      นามทั้ง   5   ชนิดที่กล่าวมานั้น เวลานำไปพูดหรือเขียน สามารถทำหน้าที่ได้  7  อย่างคือ
1.    เป็น Subject  ของกิริยาในประโยคได้.
2.    เป็น Object   ของกิริยาในประโยคได้.
3.    เป็น Object  ของ    Preposition    (บุรพบท) ได้.
4.    เป็น Complement คือส่วนสมบูรณ์ของกิริยาได้.
5.    เป็น  Appositive  คือเป็นนามซ้อนนามได้.
6.    เป็น Address  คือเป็นนามเรียกขานได้(และต้องใส่  , Comma ด้วย).
7.    เป็น Possessive คือเป็นนามแสดงความเป็นเจ้าของได้ (และต้องใส่ Apostrophes ด้วย)
                                                  
Pronoun
  Pronoun   (คำสรรพนาม)    คือคำที่มีไว้สำหรับ(พูด,เขียน)แทนชื่อของคน,สัตว์,สิ่งของ,และสถานที่เพื่อป้องกันมิให้กล่าวชื่อนั้นซ้ำๆซากๆ ซึ่งเป็นการฟังไม่ไพเราะ
Pronoun   มีอยู่ 8 ชนิดด้วยกันคือ
       1.    Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม
2.    Possessive  Pronoun  สามีสรรพนาม
3.    Definite   Pronoun  นิยมสรรพนาม
4.    Indefinite  Pronoun  อนิยมสรรพนาม
5.    Interrogative  Pronoun   ปฤจฉาสรรพนาม
6.    Relative  Pronoun  ประพันธ์สรรพนาม
7.    Reflexive  Pronoun  สรรพนามสะท้อนหรือเน้น
8.    Distributive Pronoun  วิภาคสรรพนาม
                1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนชื่อของผู้พูด, ผู้ฟัง, และผู้ที่ถูกกล่าวถึง  ซึ่งมีออยู่พจน์  3  บุรุษ คือ



เอกพจน์
พหูพจน์
บุรุษที่     1
I
we
บุรุษที่     2
you
you
บุรุษที่     3
he,   she,    it
the




                                               Personal   Pronoun   แบ่งได้  5  รูป คือ                                                                       

รูปที่  1
รูปที่ 2
รูปที่ 3
รูปที่  4
รูปที่ 5
I
Me
My
mine
myself
We
us
Our
ours
ourselves
You
you
Your
yours
yourself
He
him
his
his
himself
she
her
Her
hers
herself
It
It
its
its
itself
they
them
there
theirs
themselves


              2.  Possessive Pronoun สามีสรรพนาม   คือสรรพนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือบุรุษสรรพนามรูปที่  4  นั่นเอง  เวลาใช้ไม่ต้องมีนามตามหลัง  มีหน้าที่ 3 อย่างคือ
2.1    เป็นประธานของกิริยาในประโยค  เช่น Your   book  is green,  mine is red.
2.2    เป็นส่วนสมบูรณ์ของกิริยา   เช่น  this  pencil is mine, that one is your.
2.3  ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำเชื่อมคำ) เพื่อเน้นความเป็นเจ้าของให้ชัดเจนขึ้นได้เช่น  A   friend  of  yours  was  killed  last  night.    
              3Definite Pronoun นิยมสรรพนาม  คือสรรพนามที่ชี้เฉพาะและใช้แทนนามได้ ที่นิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6 ตัวคือ  (รวมทั้ง which ด้วย)
                    this,   that,   one      3   ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นเอกพจน์.
                   These,    those,  ones   3    ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นพหูพจน์.
*นิยมสรรพนามนี้ ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของกิริยาในประโยคได้ตามแต่ จะ ใช้งาน.
   4.   Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้นคนนี้โดยตรง  (ตรงข้ามกับ Definite Pronoun)  ได้แก่คำว่า  some,  any,  all,  someone,  somebody,  anybody,  few,  everyone,  many,  nobody,   everybody,  other……etc.
*ข้อสังเกต ทั้งนิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม  ถ้าใช้โดยมีคำนามอื่นตามหลังจะกลายเป็นคำคุณศัพท์ไป  แต่ถ้าใช้โดยไม่มีคำนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม.
               5. Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม  คือสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม  และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็นปฤจฉาสรรพนาม  ได้แก่    Who  ,  whom,  whose  ,  what,  which     ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้.
 ·  Who   (ใคร)   ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นประธานของกิริยาในประโยคได้ บางครั้งก็เป็นกรรมได้  
   เช่น.   Who   is  standing   there  ? ใครกำลังยืนอยู่ที่นั่น?.
·Whom  (ใครใช้ถามถึงบุคคลและเป็นกรรมของกิริยาหรือบุรพบท  (บางครั้งใช้ Who แทน). เช่น Whom  do  you  love ?  คุณรักใคร ?.
·Whose  (ของใครใช้ถามถึงเจ้าของ  และต้องเป็นบุคคลเท่านั้น เช่น.  Whose  is  the  car ?  รถคันนี้เป็นของใคร
                  ·    What (อะไร)   ใช้ถามถึงสิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม  เช่น:-
                       -   ถ้าเป็นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทั้งสิ้น เช่น What  delayed  you ? อะไรทำให้คุณล่าช้า.
-     ถ้าเป็นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอื่นมาร่วมด้วย  และวางไว้หลัง What เช่น What do you   want  ?
                      ·   Which  (สิ่งไหน อันไหนใช้ถามถึงสัตว์, สิ่งของ, เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น  ถ้าเป็นประธานไม่ต้องใช้กริยาอื่นมาช่วย  Which  is  the  best?  อันไหนดีที่สุด ?.(  อนึ่ง  ปฤจฉาสรรพนาม Whose  ,which,  what นี้  ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังก็เป็นคุณศัพท์ไป   ถ้าไม่มีนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นปฤจฉาสรรพนาม)   
                      6.   Relative  Pronoun   ประพันธ์สรรพนาม  คือสรรพนามที่ใช้แทนที่อยู่ข้างหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ซึ่งอาจเป็นประธานของประโยคหลังได้ด้วย  ได้แก่ Who,  Whom,   Whose, Which,  Where,  what,  when, why,  that .
·Who  (ผู้ซึ่งใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำด้วย เช่น    The  man  who  came  here  last  week  is  my  cousin.  ชายผู้ซึ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน.
·Whom  (ผู้ซึ่งใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นต้องเป็นผู้ถูกกระทำด้วย เช่น The  boy  whom  you  saw  yesterday  is  my  brother. เด็กชายผู้ซึ่งคุณพบเมื่อวานนี้เป็นน้องชายของผม.
·Whose (ผู้ซึ่ง..ของเขา)   ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนามที่ตามหลัง ดังนั้นเมื่อมี Whose ก็ต้องมีนามตามหลัง Whose เสมอ  เช่น  The  girl  whose  father  is  a  teacher  goes  to  school  every  day.   เด็กหญิงผู้ซึ่งพ่อของเขาเป็นครูนั้นไปโรงเรียนทุกวัน.(เป็นคำแสดง ความ เป็นเจ้าของ Father).
 ·Which  (ที่,ซึ่งใช้แทนนามที่เป็นสัตว์ สิ่งของ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม   The  animal            which  has  wing  is  a  bird.  สัตว์ที่มีปีกนั้นคือนก(เป็นประธานของอนุประโยค  has  wings) The  kitten  which  I  gave  to  my  aunt  is  very  naughty.  ลูกแมวซึ่งฉันให้แก่คุณป้าของฉันไปนั้นซุกซนมาก.(เป็นกรรมของกริยา  gave  ในอนุประโยค  I gave  to  my  aunt).
·Where  (อันเป็นที่ใช้แทนนามที่เป็นสถานที่ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น  The  night  club is  the  place  where  is  not  suitable  for children. ไนท์คลับเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ(เป็นประธานของอนุประโยค is  not  suitable  for  children )  The  hotel  is  the  place  where  I  like  best .  โรงแรมเป็นสถานที่ที่ผมชอบมากที่สุด.(เป็นกรรมของ like).
·What  (อะไร,สิ่งที่ใช้แทนนามที่เป็นสิ่งของ นามที่ What ไปแทนทำหน้าที่เป็นประพันธ์สรรพนามนั้นไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่างหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอื่น ทั้งนี้เพราะถูกละไว้ในฐานะที่เข้าใจแล้ว เช่น I  know  what  is  in  the  box.  ฉันรู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนี้.
·When  (เมื่อ,ที่ใช้แทนนามที่เกี่ยวกับเวลา ,วันเดือน,ปี  เช่น  Sunday  is  the  day  when  we  dont  work.  วันอาทิตย์คือวันที่เราไม่ทำงาน.
·Why  (ทำไม)   ใช้แทนนามที่เป็นเหตุผล  (ส่วนมากใช้แทน reason ) เช่น This  is  the  reason  why  I  go  to  Hong  Kong. นี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมจึงไปฮ่องกง
                ·   That  (ที่,ซึ่ง)   ใช้แทนคน, สัตว์, สิ่งของ, และสถานที่ได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์   4  ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง  อันได้แก่  :-
    1.    เป็นนามที่มีคุณสมบัติสูงสุดมาขยายอยู่ข้างหลัง เช่น  He is the tallest  man  that  I   have  ever seen. เขาเป็นคนสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา.   
2.    เป็นนามที่มีเลขจำนวนนับที่มาขยายอยู่ข้างหน้า  เช่น China  is  the  first  country  that  I am  going  to  visit. จีนเป็นประเทศแรกที่ข้าพเจ้าจะไปเที่ยว.
3.    เป็นนามที่มีคุณศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น She has much money  that  she  give  me.  หล่อนมีเงินอยู่มากที่หล่อนจะให้ผม
                           4.    เป็นสรรพนามผสมต่อไปนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่แล้ว คือ someone,  somebody,  something,  anyone,  anything,  anybody,  anyone,  everything,  no  one,  nothing,  etc.  เช่น    There  is  nothing  that  I can  do  for  you.   ไม่มีอะไรที่ผมจะช่วยคุณได้.
          7Reflexive   Pronoun   สรรพนามสะท้อนหรือเน้น  ได้แก่บุรุษสรรพนามที่นั่นเอง  อันได้แก่   myself,  yourself,  ……. Themselves.   เวลาใช้มีวิธีใช้  4  อย่างคือ  :-
                                1.  เรียงไว้หลังประธาน  เมื่อต้องการเน้นว่าประธานเป็นผู้กระทำกิจนั้นด้วยตนเอง เช่น  I   myself  study  English.   ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง.
2.    เรียงไว้หลังกริยา เมื่อบอกว่าผลการกระทำนั้นเกิดจากผู้กระทำเองเช่น   I  will  punish  myself  if  I do  mistakes  ผมจะลงโทษตัวเอง  หากผมทำผิด
3.    เรียงไว้หลังกรรม  เมื่อต้องการเน้นกรรมนั้นเช่น   I   spoke   to  the  President   himselfผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง.
8Distributive   Pronoun    วิภาคสรรพนาม   คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามในการแบ่งหรือจำแนกออกเป็นครึ่งหนึ่ง, สิ่งหนึ่ง, หรือตัวหนึ่ง  วิภาคสรรพนามที่นิยมใช้กันมากคือ
each   แต่ละ,  either   คนใดคนหนึ่ง,   neither  ไม่ใช่ทั้งสอง  หรือไม่ใช่ทั้งสอง  เช่น  There  are  ten  boy  .  Each   has  one  hundred  bath.   มีเด็กอยู่ 10  คน  แต่ละคนมีเงินอยู่คนละ  100  บาท.
*   ข้อสังเกต   วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็นสรรพนาม  แต่ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังจะเป็นคุณศัพท์                             

ลักษณะพจน์ของนามโดยทั่วไป
                ในการสร้างประโยคนั้นจะต้องใช้กริยาให้สอดคล้องกับพจน์ของตัวประธาน  ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาก็ต้องเป็นเอกพจน์  ถ้าประธานเป็นพหูพจน์กริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์    ซึ่งหลักในการดูว่านามนั้นเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นก็ให้ดูที่ท้ายศัพท์นั้นๆคือ
          1.     ถ้าท้ายศัพท์นั้นไม่เติม  S  ให้ถือว่าเป็นเอกพจน์  เช่น   a  book ,   a cat    etc.
          2.    ถ้าท้ายศัพท์นั้นเติม  S   ให้ถือว่าเป็นพหูพจน์  เช่น  Books,     cats .   etc.
                *    ข้อยกเว้น   มีนามหลายตัว หรือหลายลักษณะที่ไม่อยู่ในหลักการทั้ง  ที่กล่าวมาแล้วนั้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดเกินไปที่เราควรจะรู้ในขณะนี้  ดังนั้นจะไม่กล่าวถึงกรณีที่ยกเว้นเหล่านี้   ถ้าใครสนใจอยากรู้มากขึ้นก็พึงหาศึกษาเอาเองต่อไป.
                                                        
เพศของนาม
          นามในภาษาอังกฤษทั้งชนิด   เมื่อจำแนกออกเป็นเพศแล้วจะมีอยู่   4  เพศ  คือ
          1.   Masculine    Gender   เพศชาย    เช่น  boy,  man.etc.
                2.  Feminine     Gender    เพศหญิง  เช่น   girl,  woman etc.
          3.   Common    Gender   เพศรวม  เช่น Teacher,  Studentetc.
          4.   Nature     Gender    ไม่มีเพศ  เช่น   pen,  desketc.

หลักการเปลี่ยนเพศชายเป็นเพศหญิงมีหลักเกณฑ์  อย่างคือ
1.    โดยการเปลี่ยนคำทั้งคำจากเพศชายเป็นเพศหญิง เช่น  Boy   เป็น   Girl  เป็นต้น
2.    โดยการเติมอาคม  ess   ที่ท้ายคำเพศชาย  เช่น         Prince  เป็น   Princess  เป็นต้น
3.    โดยการเติมคำที่เป็นเพศหญิงข้างหน้านาม  จะกลายเป็นเพศหญิง  เช่น Boy-friend เป็นgirl- 
       friend    เป็นต้น.                                                                            
 4.    โดยการเติมคำที่เป็นเพศหญิงข้างหลังนามจะกลายเป็นเพศหญิง เช่น Grand-father
       เป็น  Grandmother  เป็นต้น.

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ การเรียนภาษาอังกฤษ ให้เก่ง

                                               เคล็ดลับ การเรียนอังกฤษ ให้เก่ง
ลองอ่านดูนะ แล้วช่วยเพิ่มเติมวิธีการเรียนภาษาอังกฤษกันมา เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษกัน

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้ หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอน

ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคิอ ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน

ในปัจจุบันนี้ การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า คุณทราบภาษาอังกฤษ ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF, IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษา

ยิ่งกล่าวไปทำให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับ

หากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ

1. ไวยากรณ์ (Grammar)
2. ศัพท์ (Vocabulary)
3. การอ่าน (Reading)
4. การเขียน (Writing)
5. การฟัง (Listening)
6. การพูด (Speaking)

1. ไวยากรณ์ (Grammar)
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ

การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีก